การปะทะกันในรอบที่ 64 ระหว่าง แม็กซ์ เวอร์สตาฟเฟ่น จาก เร้ด บูลล์ และ ลันโด้ นอร์ริส จาก แม็คลาเรน ก็เพียงพอที่จะขับเคลื่อน จอร์จ รัสเซลล์ ไปสู่ชัยชนะที่ ออสเตรเลียน กรังด์ ปรีซ์ ในวันอาทิตย์
นี่ถือเป็นชัยชนะในการแข่งขันครั้งแรกของ เมอร์เซเดส นับตั้งแต่ปี 2022 เมื่อรัสเซลคว้าแชมป์ บราซิเลี่ยน กรังด์ ปรีซ์ และทำให้พวกเขาได้รับชัยชนะเพียงรายการเดียวในปีนั้น นอกจากนี้ยังเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกันที่ เมอร์เซเดส จะจบการแข่งขันบนโพเดี้ยม ตามหลังอันดับสามของทั้ง รัสเซลล์ และ ลูอิส แฮมิลตัน ที่ แคนาเดียน กรังด์ ปรีซ์ และ สแปนิช กรังด์ ปรีซ์ ตามลำดับ
ก่อนการปะทะซึ่งเปลี่ยนผลลัพธ์ของการแข่งขัน รัสเซลล์ ตามมาในอันดับที่ 3 ขณะที่ นอร์ริส กำลังต่อสู้อย่างหนักเพื่อแซง เวอร์สตาฟเฟ่น การต่อสู้หลุดมือในรอบที่ 64 เมื่อทั้งสองชนกันส่งผลให้ทั้งคู่ถูกเจาะ ในขณะที่ เวอร์สตาฟเฟ่น สามารถซ่อมรถของเขาและเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 5 ได้ แต่ นอร์ริส ก็ต้องถอนตัวออกจากการแข่งขัน
นอร์ริส ที่ร้อนแรงแสดงความคับข้องใจในตอนท้ายของการแข่งขัน โดยกล่าวหาว่า เวอร์สตาฟเฟ่น เป็นคน “ประมาท” และ “สิ้นหวัง” พร้อมเสริมว่าเขาเคารพ แม็กซ์ มาก แต่ก็มีบางครั้งที่เขาก็เกินไปนิดหน่อย”
แม้กระทั่งก่อนเกิดอุบัติเหตุ นอร์ริส แสดงความไม่พอใจกับการที่ เวอร์สตาฟเฟ่น ปฏิเสธไม่ให้เขามีโอกาสที่จะแซงหน้าเขา สิ่งที่ทำให้ นอร์ริส หงุดหงิดมากขึ้นคือการที่เขาจบอันดับที่สองตามหลัง เวอร์สตาฟเฟ่น ในการแข่งขัน สปิ้นท์ เมื่อวันเสาร์ และหวังว่าจะจบการแข่งขันได้ดีขึ้น ซึ่งอาจเป็นที่หนึ่งได้ในวันอาทิตย์ แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขายังแข่งไม่จบด้วยซ้ำ ชาวดัตช์ได้รับโทษ 10 วินาที แต่นั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งที่ห้าของเขา
แต่มันก็ไม่ใช่ความพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงสำหรับ แม็คลาเรน เมื่อ ออสการ์ ปิอัสเตอร์ จบการแข่งขันไม่กี่วินาทีตามหลัง รัสเซลล์ มาเป็นที่สอง ในขณะที่ คาร์ลอส ซาอินซ์ เป็นตัวแทนของ Ferrari บนโพเดี้ยมด้วยการจบอันดับที่สาม แฮมิลตันเพื่อนร่วมทีมของรัสเซลล์มาเป็นอันดับสี่
การแข่งขันไม่ได้จบอย่างที่หลายคนคาดการณ์ไว้ แต่เหตุการณ์เช่นการชนกันเป็นเครื่องเตือนใจว่าสิ่งต่างๆ อาจเลวร้ายได้ภายในไม่กี่วินาที และการกระทำของนักแข่งสองคนอาจส่งผลกระทบในวงกว้างต่อทั้งการแข่งขัน